วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

ยาสูบ (Tobacco)

ยาสูบจัดอยู่ในวงศ์ Solanaceae ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกับ พริก มะเขือ มะเขือเทศ และมันฝรั่ง ยาสูบมีสารนิโคติน (nicotine) ที่มีสูตรทางเคมี C10H14N2 สารนี้ ได้จากการสังเคราะห์จากส่วนราก โดยพบว่ามีการสะสมอยู่ที่ใบ ยาสูบที่สำคัญมี 2 ชนิด (species) คือ Nicotiana tabacum ที่นำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์ยาสูบทั้งหมด ชนิดที่สอง คือ Nicotiana rustica เป็นพวกมีนิโคตินในใบสูง นำไปใช้ในการทำสารฆ่าแมลง ยาฉุน และยาเคี้ยว (เรวัติ เลิศฤทัยโยธิน, 2547)
พื้นที่การปลูกยาสูบ ควรมีดินชั้นบน 25-35 เซนติเมตร เนื้อดินควรเป็นดินร่วนปนทราย (sandy loam) หรือดิทรายร่วน (loamy sand) อุ้มน้ำและระบายน้ำได้ดี เมื่อแห้งไม่แข็งเป็นก้อน และเมื่อเปียกไม่เหนียว ส่วนดินลึก 70 เซนติเมตร ควรเป็นดินเหนียวปนทราย (sandy clay) เนื้อละเอียดปานกลาง ระบายน้ำได้ดี สามารถอุ้มน้ำและเก็บธาตุอาหารไว้ใช้ในช่วงแล้งได้ดีกว่าดินบน ในดินควรมีธาตุอาหารและอินทรียวัตถุไม่เกินร้อยละ 3 ซึ่งช่วยให้ดินมีโครงสร้างที่โปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก การอุ้มน้ำดี ตลอดจน   จุลินทรียที่เป็นประโยชน์เจริญเติบโตได้ดี ดินควรมี pH 5.5-6.0 และไม่ควรมีคลอรีนเกิน 6 กิโลกรัมต่อไร่ ควรยกแปลงปลูกเพื่อช่วยการระบายน้ำ และควรมีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ เพื่อที่จะนำน้ำเข้าแปลงได้ในเวลาที่ต้องการ ไม่ควรปลูกในพื้นที่ที่มีระดับน้ำใต้ดินตื้นกว่า 1 เมตร เนื่องจาก รากจะเจริญเติบโตไม่ดี สำหรับยาสูบเตอร์กิช ควรปลูกบนที่เนินที่มีความเข้มของแสงน้อย และอุณภูมิค่อนข้างต่ำสำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมในการปลูกยาสูบ คือ 21-26 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ช่วงกลางวันไม่ควรสูงกว่า 29-32 องศาเซลเซียส และช่วงเวลากลางคืนไม่ควรต่ำกว่า 18-21 องศาเซลเซียส และควรได้รับน้ำฝน 25-35 มิลลิเมตรต่อสัปดาห์ หรือ 10 วัน หรือ 250-1,270 มิลลิเมตร ตลอดฤดูปลูก ลักษณะของฝนที่เหมาะสมสำหรับยาสูบ คือ ตกน้อยแต่บ่อยครั้ง ฤดูปลูกของยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
1.      ยาปี ปลูกระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคม คุณภาพของใบดีที่สุด เนื่องจากได้รับปัจจัยในการปลูกอย่างเหมาะสม ยาสูบในรุ่นนี้มีพื้นทีปลูกน้อยที่สุด
2.      ยาทา ปลูกระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม คุณภาพของใบต่ำที่สุด เนื่องจากมักประสบปัญหาการเกิดโรค และคุณภาพในการบ่มยาของใบไม่ดี มักปลูกในนาข้าวหลังการเก็บเกี่ยว ยาสูบประเภทนี้มีพื้นที่ปลูกมากที่สุด
3.      ยาแล้ง ปลูกระหว่างเดือนเมษายนถึงสิงหาคม ใบยามีคุณภาพรองจากยาปี พื้นที่ปลูกยาแล้งมากกว่ายาปี มักเกิดโรคตากบ ซึ่งทำให้เกิดแผลที่ใบ และก้านใบเน่าหลุดร่วงในขณะบ่ม


ยาสูบพันธุ์เบอร์เลย์ จะปลูกเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม เพราะ พื้นที่ปลูกยาสูบประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ริมแม่น้ำ ซึ่งต้องรอให้แม่น้ำลดลงเสียก่อน
ยาสูบพันธุ์เตอร์กิช โดยปกติปลูกประมาณเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับการปลูกยาสูบพันธุ์พื้นเมือง ใบยาจะสุกแก่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ซึ่งเป็นฤดูแล้งเหมาะแก่การเก็บเกี่ยว และไม่มีฝนที่จะชะยางบนใบยาสูบ ซึ่งจะทำให้ใบยาบางและกลิ่นหอมจางลง

วิธีการปลูกยาสูบพันธุ์ต่างๆ ประกอบด้วย
1.      ยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย ระยะระหว่างแถว 1.2 เมตร ระยะระหว่างต้น 60 เซนติเมตร ซึ่งจะปลูกได้ 2,200-2,500 ต้นต่อไร่
2.      ยาสูบพันธุ์เบอร์เลย์ ระยะระหว่างแถว 1.1 เมตร ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร
3.      ยาสูบพันธุ์เตอร์กิช ปลูกเป็นแถวคู่ ระยะระหว่างแถว 15-20 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวคู่ 40 เซนติเมตร และระหว่างต้น 10 เซนติเมตร ซึ่งจะปลูกได้ 20,000-30,000 ต้นต่อไร่

การศึกษาปลูกยาสูบ ในประเทศไทย ระหว่าง ปีพ.ศ. 2546-2551 (กรมสรรพสามิต, มมป) พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวน 12 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น หนองคาย ร้อยเอ็ด พะเยา ยโสธร เลย อุบลราชธานี มุกดาหาร ชัยภูมิ มหาสารคาม และนครพนม ภาคเหนือ มีจำนวน 8 จังหวัด คือลำปาง สุโขทัย ลำพูน เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก ภาคตะวันตก มีจำนวน 1 จังหวัด คือ กาญจนบุรี ภาคใต้ มีจำนวน 2 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช และสงขลา ทั้งนี้การศึกษา พบว่า ปี พ.ศ. 2546-2550 มีเกษตรกรทำการปลูก เท่ากับ 31,498-46,299 ราย เนื้อที่ปลูกประมาณ 153,938-147,347 ไร่ และ ผลผลิตประมาณ 21,663-60,845 ตัน (ตารางที่ 1) โดยทำการปลูกพันธุ์ เวอร์จิเนีย เบอร์เลย์ เตอร์กีช แซนดิอาก้า และ PVH03

สถิติการปลูกยาสูบในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2546 - 2551
ปี พ.ศ.
เกษตรกร (คน)
เนื้อที่ปลูกประมาณ (ไร่)
ผลผลิตประมาณ (ตัน)
2546
31,498
153,938
58,640
2547
41,124
172,889
57.496
2548
35,331
169,069
60,845
2549
37,848
144,427
45,504
2550
47,828
164,823
21,663
2551
46,299
147,347
44,022
ที่มา: กรมสรรพสามิต, มมป.

กรมสรรพสามิต (2553) ได้รายงานข้อมูลการผลิตยาสูบในฤดูการผลิต ปี 2551/2552 ตามรายจังหวัด ดังนี้
1.      พันธุ์เวอร์จิเนียร์ มีพื้นที่ปลูก 67,977 ไร่ มีเกษตรกรปลูกจำนวน 12,489 คน และปริมาณการผลิต 15,816,695 กิโลกรัม จังหวัดที่ทำการปลูกมี 10 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ พะเยา ลำปาง ลำพูน น่าน แม่ฮ่องสอน หนองคาย และนครพนม
2.      พันธุ์เบอร์เลย์ มีพื้นที่ปลูก 78,248 ไร่ มีเกษตรกรปลูกจำนวน 20,369 คน และปริมาณการผลิต 35,529,119 กิโลกรัม จังหวัดที่ทำการปลูกมี 5 จังหวัด คือ สุโขทัย เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ หนองคาย และนครพนม
3.      พันธุ์เตอร์กิช มีพื้นที่ปลูก 60,922 ไร่ มีเกษตรกรปลูกจำนวน 30,300 คน และปริมาณการผลิต 10,584,180 กิโลกรัม จังหวัดที่ทำการปลูกมี 19 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา และเลย

การศึกษาข้อมูลการเพาะปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546-2551 พบว่า จังหวัดหนองคายมีการปลูกยาสูบทั้ง 4 สายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2551 มีเกษตรกรจำนวน 990 ราย ทำการปลูกยาสูบ มีเนื้อที่ปลูกเท่ากับ 12,279 ไร่ และมีผลผลิตรวม เท่ากับ 1,814 ตัน (ตารางที่ 2) ทั้งนี้ ยังพบว่า เกษตรกรปลูกยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียร์ มากที่สุด รองลงมาได้แก่ พันธุ์เบอร์เลย์ พันธุ์เตอร์กีช และพันธุ์พื้นเมือง ตามลำดับ

สถิติการปลูกยาสูบจังหวัดหนองคาย ปี พ.ศ. 2551
พันธุ์ยาสูบ
เกษตรกร (ราย)
เนื้อที่ปลูก (ไร่)
ผลผลิต (กก)
พื้นเมือง
65
724
156,000
เตอร์กีช
10
105
29,000
เบอร์เลย์
185
1,528
417,000
เวอร์จิเนียร์
730
9,922
1,172,000
รวม
990
12,279
1,814,000
ที่มา: กรมสรรพสามิต, มมป.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น